ประวัติการดื่มชามีมา ไม่น้อยกว่า 2,167 ปีก่อนคริสตกาล การดื่มชามีหลายตำนาน บ้างก็กล่าวว่าจักรพรรดิเสินหนิงของจีน (Shen Nung) หลักฐานสำคัญที่เป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับเรื่องชาที่สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้
ในสมัยสุโขทัยช่วงที่มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับจีน พบว่าได้มีการดื่มชากัน แต่ก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่านำเข้ามาอย่างไร และเมื่อใด แต่จากจดหมายของท่านลาลูแบร์ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้กล่าวไว้ว่า คนไทยได้รู้จักการดื่มน้ำชาแล้ว โดยนิยมชงชาเพื่อรับแขก การดื่มชาของคนไทยสมัยนั้นดื่มแบบชาจีนไม่ใส่น้ำตาล
สำหรับการปลูกชาในประเทศไทยนั้น แหล่งกำเนิดเดิมจะอยู่ตามภูเขาทางภาคเหนือของประเทศ โดยจะกระจายอยู่ในหลายจังหวัดแถบภาค เหนือ ที่สำคัญได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน แพร่ น่าน ลำปางและตาก จากการสำรวจของคณะทำงานโครงการหลวงวิจัยชาได้พบแหล่งชาป่าที่บ้านไม้ฮุง กิ่งอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน บริเวณเขตติดต่อชายแดนประเทศพม่า ต้นชาป่าที่พบเป็นชาอัสสัม (Assam tea) อายุหลายร้อยปี เส้นผ่าศูนย์กลางของลำต้นประมาณ 0.5 เมตร ชาวบ้านละแวกนั้นเรียกต้นชาพันปี
การดื่มชาในปัจจุบัน มีหลากหลายรูปแบบ กลายเป็นเครื่องดื่มที่หลายคนมีติดมือ เพราะหาซื้อได้ง่าย
มีหลายรสชาติ มีโปรโมชั่น ส่วนลดหรือของแถมมากมาย ที่นิยมเห็นจะเป็น ชานมไข่มุก
ที่มีขายทั่วไป แต่ควรปรับชานมไข่มุกเพื่อสุขภาพตับที่ดี
-ขนาดแก้ว เลือกแก้วเล็กที่สุด (16 oz.) แทนแก้วใหญ่ที่สุด
(22 oz.) เพื่อลดพลังงานส่วนเกิน
ชนิดเครื่องดื่ม
เครื่องดื่มแบบขุ่นที่มีนมมักมีพลังงานมากกว่าเครื่องดื่มแบบใส
และเครื่องดื่มแบบปั่นมักมีพลังงานมากกว่าเครื่องดื่มแบบเย็น
-ระดับความหวาน หากเดิมเลือกดื่มแบบหวาน 100% ลองค่อยๆ ปรับลดลงเป็นหวาน 75% และเป็น 50% ตามลำดับ
-Topping ควรเลือกเพิ่ม topping เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ไข่มุก (ไม่แช่น้ำตาลทราย) 60 กรัม พลังงาน 77.9 kcal พุดดิ้งไข่ 80 กรัม พลังงาน 53.7 kcal เยลลี่ฟรุตสลัด 50 กรัม พลังงาน 50 kcal วิปชีส 35 กรัม พลังงาน 75 kcal
-ความถี่ ควรดื่มไม่เกิน 1 - 2 แก้ว/สัปดาห์
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : นักกำหนดอาหาร SiPH
https://teacoffee.mfu.ac.th/tc-tea-coffeeknowledge/tc-tea/tc-teahistory.html